Geoharbour

การปรับปรุงคุณภาพดินฐานราก

การปรับปรุงคุณภาพดินฐานราก เป็นกระบวนการปรับเปลี่ยนคุณสมบัติ ทางกายภาพ และทางเคมีของดิน เพื่อทำให้ดินในบริเวณนั้นมีคุณสมบัติที่เหมาะสม แข็งแรง และมั่นคง ก่อนที่จะทำการก่อสร้างต่อไป โดยมีวิธีการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

Consolidation Methods

  • Vacuum Consolidation Method (VCM)

เป็นวิธีการปรับปรุงคุณภาพดินเหนียว หรือดินตะกอนอ่อนนุ่ม โดยการใช้แรงดันสุญญากาศ เพื่อเร่งอัดตัวการคายน้ำของดิน

Reinforcement Methods

  • Deep Cement Mixing (DCM)
เหมาะกับการปรับปรุงคุณภาพดินในพื้นที่ลักษณะดินที่หลากหลายเช่น ดินโคลน, หรือพื้นที่ทีมีซากพืชซากสัตว์ และพื้นที่ ที่มีดินอ่อน ไม่แข็งแรง โดยกาใช้หัวหัวใบพัดของเครื่องจักร และทำการกวนส่วนผสมเข้าด้วยกัน
  • Jet Grout Column

เป็น 1 ในวิธีการบดอัดโดยการใช้เครื่องปั้มผสมน้ำซีเมนต์ที่มีความดันสูง แล้วทำการฉีดผ่านท่อดามตั้งฉากเพื่อทำลายโครงสร้างดิน จนเกิดการกัดกร่อนและผสมกัน จนสุดท้ายได้แท่งซีเมนต์ในชั้นดิน

Densification methods

  • Dynamic Replacement (DR)

เป็นวิธีการที่ต่อยอดมาจาก DC โดยวิธีนี้จะมีขั้นตอนเพิ่มเข้ามาในการแทนที่ดินที่ผ่านการถูกบดอัดไปแล้วด้วยดินใหม่แทน
  • Dynamic compaction (DC) 

เป็นวิธีการปรับปรุงคุณภาพดินโดยการทิ้งลูกตุ้มเหล็กน้ำหนักปลอยลงสู่หน้าดินซ้ำหลายครั้งเพื่อเพิ่มความหนาแน่นของอนุภาคดิน

  • Vibro-replacement (Stone/ Sand Column)

เป็นวิธีการที่ต่อยอดมาจาก Vibro Compation โดยวิธีนี้ได้เพิ่มขอบเขตและลดข้อจำกัดของ VC เพราะหลังจากการบดอัดแล้วในวิธีนี้ได้มีขั้นตอนของการแทนที่ของดินใหม่ลงไปในบริเวณที่ดินผ่านการปรับปรุงไปแล้ว

  • Vibro Compaction

เป็นวิธีที่เหมาะกับการปรับปรุงคุณภาพดินเม็ดละเอียด เช่นดินกรวด, ดินทรายหลวม เพื่อลดโอกาสในการเกิดปัญหาดินเหลว และ ลดการทรุดตัว 

  • High Vacuum Densification Method (HVDM)

เป็นวิธีการปรับปรุงคุณภาพดิน ที่เหมาะกับพื้นที่ ที่มีระดับน้ำใต้ดินสูง และมีดินเม็ดละเอียดผสมอยู่ค่อนข้างเยอะ การปรับปรุงด้วยวิธีนี้ถือว่าเป็น 1 ในสิทธิบัตร และวิธีการเฉพาะของทาง Geohharbour  

คำถามที่พบบ่อย ?

บริษัท Geoharbour Construction ไม่ได้รับทำการปรับปรุงคุณภาพดินด้านการเกษตร แต่เราทำหน้าที่ในการปรับปรุงคุณภาพดินเพื่อการก่อสร้าง เชิงวิศวกรรมธรณี

เพราะว่าการปรับปรุงคุณภาพดิน คือการเพิ่มคุณสมบัติให้กับดินที่มีคุณสมบัติต่ำกว่าที่โครงการ หรือพื้นที่นั้นต้องการ เพื่อให้ดินในบริเวณนั้น ๆ มีคุณสมบัติที่สูงขึ้น เช่น มีความสามารถในการรับแรงที่เพิ่มขึ้นมีเสถียรภาพมากขึ้น มีความสามารถในการให้น้ำซึมผ่านที่ต่ำลง หรือเพื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน โดยวิธีการปรับปรุงคุณภาพดินนั้นมีหลากหลายวิธีการ ขึ้นอยู๋กับสภาพหน้างาน ปัจจัยต่าง ๆ ของโครงการ รวมไปถึงชนิดของดินที่แตกต่างกันออกไป

ได้ แต่ว่าอาจเกิดปัญหาตามขึ้นมาได้ในอนาคต เช่นหากเป็นพื้นที่บริเวณกรุงเทพและปริมณฑล ที่เป็นพื้นที่ดินเหนียวอ่อน ก็จะเกิดปัญหาการทรุดตัวระยะยาวได้

ส่วนใหญ่เจ้าของโครงการจะมองว่าเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จึงไม่ดำเนินการปรับปรุงคุณภาพดินก่อนการก่อสร้าง แต่เมื่อในอนาคตเกิดปัญหาตามขึ้นมา ต้นทุนที่ต้องใช้ในการซ่อมแซม ไม่ว่าจะเป็นการฉีกขาดของโครงสร้างอาคาร ผิวถนนที่แตกร้าว งานระบบท่อน้ำ ท่อเดินสายไฟที่บิดงอ ล้วนเป็นปัญหายุ่งยากที่เสียทั้งเวลา และเงินจำนวนมหาศาล เมื่อเทียบกับทำการปรับปรุงคุณภาพดินตั้งแต่เริ่มก่อสร้างโครงการ

ไม่เสมอไป เพราะในพื้นที่แต่ละพื้นที่นั้น มีความแตกต่างกันอย่างมาก ในบางพื้นที่นั้นการปรับปรุงหน้าดินอาจก่อประโยชน์ที่มากกว่า แต่กลับกันในบางพื้นที่การปรับปรุงหน้าดิน อาจมีความจำเป็นที่น้อยกว่า ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น คุณภาพของดิน, ระยะเวลาของโครงการ,              งบประมาณ, วัตถุประสงค์การใช้งาน, ผลกระทบต่อพื้นที่ข้างเคียง หรือสิ่งแวดล้อม รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงอีกมากมาย แต่ทั้งนี้ก่อนที่จะทำการก่อสร้างในพื้นที่บริเวณนั้น ๆ สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการสำรวจคุณสมบัติของดินบริเวณนั้นก่อนการก่อสร้าง เพื่อที่เราจะสามารถประเมินความเสี่ยงของระยะเวลาที่อาจเกิดปัญหาขึ้นได้ในอนาคต

Scroll to Top