Geoharbour

ดิน ในประเทศไทยกับงานก่อสร้าง มีแบบไหนบ้าง มาดูกัน!

 

เกร็ดความรู้ ดินกับงานก่อสร้าง จากบริษัทจีโอฮาร์เบอร์

 

ดิน นับว่าเป็นวัสดุทางธรรมชาติ ที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการก่อสร้างไม่ว่าจะสร้างตึกหรู อาคาร สะพาน หรืออะไรก็ตาม

ทั้งนี้ในการที่จะสร้างสิ่งต่าง ให้ออกมาดีแบบนั้นได้ เราก็ต้องนึกย้อนกลับไปถึงต้นตอ หรือพื้นฐานแรกเริ่มซึ่งสำหรับในครั้งนี้ ก็คือเรื่องของพื้นฐานล่างสุดหรือ ดิน นั่นเองครับ เพราะอย่าลืมว่าสุดท้ายแล้วสิ่งก่อสร้างทุกอย่างบนโลกใบนี้ ล้วนก็จำเป็นต้องถูกสร้างออกมาให้ตั้งอยู่บนพื้นดินให้ได้ทั้งนั้น 

ดังนั้นแล้วการรู้จักชนิดของดินในงานก่อสร้างจึงเป็นสิ่งที่เราจะทำการพูดคุยกันต่อไปนั่นเองครับ

 

ชนิดของดินในงานก่อสร้าง

รูปภาพตัวอย่างของดินแต่ละชนิด จากบริษัทจีโอฮาร์เบอร์

ในความเป็นจริงแล้ว ดินในโลกของเรานั้นมีอยู่มากมายหลากหลายประเภท ถ้าจะให้พูดทุกประเภทคงต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะคุยกันจบ

เช่นเดียวกับปัจจัยในดินที่มีผลต่อการรับน้ำหนักที่มีอยู่อย่างมหาศาล ในบทความนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายยิ่งขึ้น เราจะขอทำการพูดคุยกันอย่างง่าย ๆ โดยมีหัวข้อตามนี้ครับ

ดิน 4 ชนิดที่มักจะเจอในงานก่อสร้าง

  • ดินเหนียว (Clay)
  • ดินตะกอน (Silt)
  • ดินทราย (Sand)
  • ดินกรวด (Gravel)

ส่วนปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับน้ำหนักของดินในงานก่อสร้าง

  • ปริมาณน้ำในดิน
  • การระบายน้ำ  
  • ขนาดอนุภาคของเม็ดดิน  

 

ลักษณะ และคุณสมบัติของดินแต่ละชนิดในงานก่อสร้าง

ตารางเปรียบเทียบลักษณะ คุณสมบัติดินแต่ละชนิด จากบริษัทจีโอฮาร์เบอร์

ดินเหนียว (Clay)

  • เป็นดินชนิดแรกที่เราจะมาคุยกันในวันนี้ครับ เจ้าดินเหนียวนี้ลักษณะของเขาคือ เป็นดินที่มีขนาดอนุภาคเล็ก และมีเนื้อเม็ดละเอียด เล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า (หมายถึงอนุภาคต่อ 1 ม็ด)
  • ส่วนความสามารถ ในการระบายน้ำและอากาศนั้นก็อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งระดับน้ำในอนุภาคดิ ส่งผลให้ดินมีกำลังรับน้ำหักที่ต่ำล
  • ลองนึกนึกภาพถึงโคลนเหล เนื่องมาจากคุณสมบัติขอน้องดินเหนียวเองที่มีความเป็นพลาสติกสูงในตัวเอง (น้องจะยืดตัวเวลาโดนน้ แต่จะกลับมาหดตัวเหมือนเดิมเมื่อแห้) ทำให้เวลาที่มีน้ำหนักมากดทั ดินเหนียวจะไม่ได้ทรุตัวทั้งหมดทันท น้องจะค่อย ทรุ ทำให้เกิดการทรุดตัวในระยะยาวได (จะเห็นได้จากตอนเราซื้อบ้านเสร็จใหม่   บ้านยังไม่ทรุ แต่ผ่านไปไม่กี่ป บ้านทรุดหนักมาก) 

ดินตะกอน (Silt)

  • มักเกิดจากกระบวนการสลายตามธรรมชาติ โดยส่วนใหญ่แล้วมักถูกพัดมาตามแหล่งน้ำ ส่วนลักษณะภายนอกคือเป็นดินที่มีขนาดเล็ก 
  • ในเรื่องของความสามารถในการระบายน้ำและกาศถือว่าสูสี ทำได้ไม่ดีพอ กับดินเหนียเพราะน้องตะกอนชอบกักเก็บน้ไว้กับตัวนาน ลยทำให้มีปริมาณน้ำในดินสะสมอยู่มาก ส่งผลให้ดินมีกำลังรับน้ำหนักที่ต่ำลงเหมือนกับในกรณีของน้องดินเหนียวนั่นเองครับ
  • นอกจากนี้ในบางครั้เราอาจมีโอกาสพบเห็นกองดินน้องตะกอนที่อยู่ตามพื้นที่โล่ง วลาฝนตกหนักกลายเป็นแอ่งน้ำได้ด้วย เนื่องมาจากเหตุผลเดิม คือน้องค่อนข้างระบายน้ำได้ช้า

ดินทราย (Sand)

  • เจ้าน้องคนนี้เป็นดิน ที่มีลักษณะเนื้อหยาบและมีขนาดของเม็ดอนุภาคที่ใหญ่ มีความหนาแน่นสูงนอกจากนี้ยังพบว่าเป็นดินที่มีแรงยึดเหนี่ยวด้วยกันน้อย เพราะมีปริมาณสารเชื่อมน้อย จากการมีปริมาณสารอนทรีย์วัตถุในดินที่ต่ำ สังเกตได้ง่าย คือถ้าเราลองจับดินทรายขึ้นมา กำให้แน่น แล้วปล่อยมือ น้องจะแตกออกจากกัน ไม่จับกันเป็นก้อน    
  • ในส่วนของความสามารถในการระบายน้ำและอากาศต้องเรียกได้ว่าน้องทรายทำได้ดีมาก ๆ เพราะน้องีความหนาแน่นสูงแต่มีความพรุนต่ำ ความขัดแย้งนี้เลยยอมให้น้ำไหลผ่านตลอด ไม่อุ้มน้ำ ใดเลยบวกกับขนาดความใหญ่ของอนุภาค ทำให้มีแรงเสียดทานระหว่างเม็ดดินสูง ส่งผลให้เมื่อมีน้ำหนักกดทับ อนุภาคทรายจะจัดเรียงใหม่จนแน่นกว่าเดิม และทำให้รับน้ำหนักวัตถุก่อสร้างได้สูงมากนั่นเอง 

ดินกรวด (Gravel)

  • น้องคนสุดท้ายที่เราจะพูดถึงในวันนี้คือ น้องคนโต ดินกรวดเป็นน้องที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ในบรรดาพี่น้องทั้ง 4 ชนิด เกิดจากการรวมตัวกันของหินหลายประเภท ด้วยความหลากหลายนี่เองเลยทำให้มีลักษณะเนื้อที่หยาบ  นอกจากนี้ ยังมีความสามารถในการยึดเหนี่ยวกันในเม็ดดินที่น้อย 
  • ส่วนเรื่องความสามารถของพี่ใหญ่คนนี้คือ เขามีความสามารถในการระบายน้ำที่สูง
  • ด้วยเหตุผลจากปัจจัยที่ควบคุมค่าสภาพที่ให้น้ำซึมผ่านไีด้ดีคือ ขนาดและความต่อเนื่องของช่องว่างขนาดใหญ่ เพราะยิ่งดินมีช่องว่างขนาดใหญ่และมีความต่อเนื่องก็จะทำให้น้ำซึมผ่านได้สูง หรือระบายน้ำได้ดีนั่นเอง  ซึ่งนอกจากการระบายน้ำแล้ว ก็ยังคงส่งผลต่อควาสามารถในการรับน้ำหนักของดินกรวดด้วย

ตัวอย่างการเรียกชื่อดิน ตามปริมาณเนื้อดินที่ผสมกัน จากบริษัทจีโอฮาร์เบอร์

ถึงข้อมูลจะบอกเราว่า ดินทราย กับดินกรวดเป็นดิน 2 ชนิดที่มีกำลังแรงรับมากที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องของน้องดิน มีความซับซ้อนกว่านั้นเยอะเลยครับ เพราะในพื้นที่จริง ๆ  เราไม่มีทางรู้เลยว่าจะมีดินอะไรปะปนกันอยู่บ้าง เราอาจจะไปเจอดินตะกอนปนดินเหนียว, ดินตะกอนปนดินทราย หรือดินเหนียวปนดินตะกอน (ตามรูปภาพ) เราไม่มีทางรู้เลยครับ เพราะดินนั้นมีอนุภาคเล็กมากการจะแยกแยะจำแนกประเภทของดิน ก็เลยเป็นเรื่องยากมากครับ 

เพราะแบบนี้เอง เราเลยต้องมีการทำการเจาะสำรวจ ก่อนก่อสร้างครับ เพราะจะทำให้เรารู้ได้แน่ว่าในพื้นใต้ดินนี้ มีดินอะไรปะปนกันอยู่บ้า แล้วพอเรารู้ เราก็จะเลือกวิธีแก้ปัญหา หรือพูดง่ายก็คือเลือกวิธีการปรับปรุงคุณภาพดิน ได้เหมาะสมกับพื้นที่ได้นั่นเองครับ 

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ในช่องทาง

Facebook : https://www.facebook.com/ghthai2015/ 

Scroll to Top