
ดิน นับว่าเป็นวัสดุทางธรรมชาติที่มีความสำคัญอย่างมากต่อโลกของเราและสำหรับงานก่อสร้างก็เช่นเดียวกัน เพราะไม่ว่าเราต้องการจะสร้างตึกหรู อาคาร หมู่บ้านจัดสรร สะพาน หรืออะไรก็ตาม ทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้เงื่อนไขและความเป็นจริงข้อเดียวกันคือ “จะต้องทำอย่างไรให้สิ่งก่อสร้างสามารถตั้งอยู่บนชั้นดินแล้วไม่ล้ม มั่นคง ปลอดภัย ใช้งานได้ยาวนาน
ซึ่งในการทำความเข้าใจและลดความเสี่ยงเหล่านั้นเอง เราจำเป็นต้องเข้าใจและรู้จักถึงต้นตอ หรือพื้นฐานล่างสุดหรือ ดินให้ดีก่อนเพื่อที่จะสามารถคาดเดาลักษณะ พฤติกรรม รวมถึงความเหมาะสมในการนำไปใช้งานของดินแต่ละชนิดได้ แน่นอนว่าในความเป็นจริงดินในโลกของเรานั้นมีอยู่มากมายหลากหลายประเภท เช่นเดียวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับดิน
ในบทความนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายยิ่งขึ้น สำหรับผู้เริ่มต้นทุกคน แอดมินจะขอทำการพูดคุยกันอย่างง่าย ๆ โดยมีหัวข้อตามนี้ครับ
เลือกอ่านตามหัวข้อ
ลักษณะ และคุณสมบัติของดินแต่ละชนิดในงานก่อสร้าง
ดินเหนียว (Clay)
-
เป็นดินที่มีขนาดอนุภาคเล็ก และมีเนื้อเม็ดละเอียด เล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า (หมายถึงอนุภาคต่อ 1 เม็ด)
-
ความสามารถในการระบายน้ำและอากาศนั้นก็อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งระดับน้ำในอนุภาคดิน ส่งผลให้ดินมีกำลังรับน้ำหนักที่ต่ำลง
-
ลองนึกนึกภาพถึงโคลนเหลว ๆ เนื่องมาจากคุณสมบัติของดินเหนียวเองที่มีความเป็นพลาสติกสูงในตัวเอง (จะยืดตัวเวลาโดนน้ำ แต่จะกลับมาหดตัวเหมือนเดิมเมื่อแห้ง) ทำให้เวลาที่มีน้ำหนักมากดทับ ดินเหนียวจะไม่ได้ทรุดตัวทั้งหมดทันที แต่จะค่อย ๆ ทรุด ทำให้เกิดการทรุดตัวในระยะยาวได้ ซึ่งเราจะเห็นได้บ่อยจากในกรณีที่เราซื้อบ้านเสร็จใหม่ ๆ ตามโครงการในกรุงเทพฯ บ้านจะยังไม่ทรุดในช่วงแรกที่เราเข้าอาศัย แต่ผ่านไปไม่กี่ปี บ้านทรุดหนักมาก
ดินตะกอน (Silt)
มักเกิดจากกระบวนการสลายตามธรรมชาติ โดยส่วนใหญ่แล้วมักถูกพัดมาตามแหล่งน้ำ ส่วนลักษณะภายนอกคือเป็นดินที่มีขนาดเล็ก
ในเรื่องของความสามารถในการระบายน้ำและอากาศถือว่าสูสี ทำได้แย่พอ ๆ กับดินเหนียวเพราะดินตะกอนชอบกักเก็บน้ำไว้กับตัวนาน จึงทำให้มีปริมาณน้ำในดินสะสมอยู่มาก ส่งผลให้ดินมีกำลังรับน้ำหนักที่ต่ำลงเหมือนกับในกรณีของน้องดินเหนียว
นอกจากนี้ในบางครั้งเราอาจมีโอกาสพบเห็นกองดินตะกอนอยู่ตามพื้นที่โล่ง เวลาฝนตกหนัก ๆ กลายเป็นแอ่งน้ำได้ด้วย เนื่องมาจากเหตุผลเดิมคือค่อนข้างระบายน้ำได้ช้า
ดินทราย (Sand)
มีลักษณะเนื้อหยาบเและมีขนาดของเม็ดอนุภาคที่ใหญ่ มีความหนาแน่นสูง นอกจากนี้ยังพบว่าเป็นดินที่มีแรงยึดเหนี่ยวด้วยกันน้อย เพราะมีปริมาณสารเชื่อมน้อย จากการมีปริมาณสารอินทรีย์วัตถุในดินที่ต่ำ สังเกตได้ง่าย ๆ คือถ้าเราลองจับดินทรายขึ้นมา กำให้แน่น แล้วปล่อยมือ ดินทรายจะแตกออกจากกันไม่จับกันเป็นก้อน
ในส่วนของความสามารถในการระบายน้ำและอากาศเรียกได้ว่าทำได้ดีมาก ๆ เพราะมีความหนาแน่นสูงแต่มีความพรุนต่ำ ความขัดแย้งนี้เลยยอมให้น้ำไหลผ่านตลอด ไม่อุ้มน้ำเลยผนวกกับขนาดความใหญ่ของอนุภาค ทำให้มีแรงเสียดทานระหว่างเม็ดดินสูงส่งผลให้เมื่อมีน้ำหนักกดทับ อนุภาคทรายจะจัดเรียงใหม่จนแน่นกว่าเดิมและทำให้รับน้ำหนักวัตถุก่อสร้างได้สูง
ดินกรวด (Gravel)
มีขนาดใหญ่ที่สุด ในบรรดา 4 ชนิด เกิดจากการรวมตัวกันของหินหลาย ๆ ประเภท ด้วยความหลากหลายนี่เองเลยทำให้มีลักษณะเนื้อที่หยาบ นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการยึดเหนี่ยวกันในเม็ดดินที่น้อย
ส่วนเรื่องความสามารถของดินกรวดคือ มีความสามารถในการระบายน้ำที่สูง ด้วยเหตุผลจากปัจจัยที่ควบคุมค่าสภาพที่ให้น้ำซึมผ่านไีด้ดีคือ ขนาดและความต่อเนื่องของช่องว่างขนาดใหญ่ เพราะยิ่งดินมีช่องว่างขนาดใหญ่และมีความต่อเนื่องก็จะทำให้น้ำซึมผ่านได้สูงหรือระบายน้ำได้ดีนั่นเองซึ่งนอกจากการระบายน้ำแล้วก็ยังคงส่งผลต่อความสามารถในการรับน้ำหนักของดินกรวดด้วย
สรุป
ถึงข้อมูลจะบอกเราว่า ดินทราย กับดินกรวดเป็นดิน 2 ชนิดที่มีกำลังแรงรับมากที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องของดินนับว่ามีความซับซ้อนกว่านั้นอยู่มาก เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมาย (ซึ่งนวมถึงปัจจัยที่ไม่ได้ถูกนำมาพูดคุยในบทความนี้ด้วย) เพราะในพื้นที่จริง ๆ เราไม่อาจรู้ว่าจะมีดินอะไรปะปนกันอยู่บ้าง เราอาจจะไปเจอดินตะกอนปนดินเหนียว, ดินตะกอนปนดินทราย หรือดินเหนียวปนดินตะกอน (ตามรูปภาพ)
ทั้งนี้จึงต้องควรมีการทำ การเจาะสำรวจดิน ทุกครั้งก่อนก่อสร้างเพราะจะทำให้เรารู้ได้แน่ ๆ ว่าในพื้นใต้ดินนี้ มีดินอะไรปะปนกันอยู่บ้าง แล้วพอเรารู้ เราจึงจะเลือกวิธีแก้ปัญหา หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเลือกวิธีการปรับปรุงคุณภาพดิน ได้เหมาะสมกับพื้นที่ได้มากขึ้นนั่นเองครับ
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติม
Facebook: Facebook Profile
Linkedin: Linkedin Profile